http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/359239สัปดาห์ที่แล้ว “เมืองดีทรอยต์” รัฐมิชิแกน สหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นเมืองผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก ยื่นขอล้มละลายต่อศาล เพราะไม่มีเงินไปชำระหนี้ 15,000 ล้านดอลลาร์ แม้ศาลจะขอให้ถอนคำร้อง เพราะไปกระทบต่อกองทุนบำเหน็จบำนาญสองแห่งที่ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ในที่สุดก็ไปยื่นขอล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เมืองดีทรอยต์ เคยเจริญรุ่งเรืองสุดขีด แต่เมื่อ อุตสาหกรรมรถยนต์ เริ่มถอนตัวออกไปจากเมืองนี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยน พลเมืองลดจาก 1.8 ล้านคน เหลือ 7 แสนคน อาคารร้างในเมืองมีถึง 78,000 แห่ง อาชญากรรมเต็มเมืองจนติดอันดับ 1 ในสหรัฐฯ
วันนี้ต้องถือว่า “เมืองดีทรอยต์แห่งสหรัฐฯ” ได้ “ตาย” ไปแล้ว
แต่ “เมืองดีทรอยต์แห่งเอเชีย” หรือ “ประเทศไทย” กำลังเกิดขึ้นมาแทนที่ ผมก็ได้แต่หวังว่าในอนาคต “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” จะไม่ประสบชะตากรรมเดียวกับ “เมืองดีทรอยต์สหรัฐฯ” เมื่ออุตสาหกรรมรถยนต์จะย้ายฐานผลิตไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
สองวันก่อน คุณเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย พูดถึงอนาคตโตโยต้าในงานสัมมนาว่า โตโยต้าวางกลยุทธ์ให้ภูมิภาคเอเชียนเป็นบ้านหลังที่ 2 และประเทศไทย จะเป็นฐานอาร์แอนด์ดี (การวิจัยและพัฒนา) หลักของภูมิภาค
การผลิตรถยนต์ในปัจจุบันกว่า 50% อยู่ในเอเชีย เขาคาดว่าปี 2558 สัดส่วนยอดขายรถยนต์ในเอเชียจะขึ้นมาที่ 50% เท่ากับยอดขายในตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯรวมกัน
คุณทานาดะ บอกว่า วันนี้ตลาดรถยนต์ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 รองจาก สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และ จีน แต่ในอนาคตโตโยต้าไม่ได้มองแค่ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่ยังเห็นลู่ทางการขยายธุรกิจในเวียดนาม ลาว กัมพูชา เพื่อสร้างฐานผลิตซัพพลายเชนในอนาคตด้วย
คุณสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงศ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เปิดเผยว่า 5 เดือนแรกปีนี้ ไทยยังครองส่วนแบ่งการผลิตรถยนต์ในอาเซียนสูงถึง 59% อินโดนีเซีย มีส่วนแบ่ง 25% มาเลเซีย 13% เวียดนามและฟิลิปปินส์ 2% ตอนนี้การผลิตรถยนต์ในไทยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 8-9 หมื่นคัน ภายใน 10 ปีนี้ ไทยน่าจะยังเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์มากกว่า 50% และคาดว่าไทยจะผลิตรถยนต์ได้ถึง 3 ล้านคันในปี 2560 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองไทยวันนี้ ต้องถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองสุดๆ ไม่แพ้ยุครุ่งเรืองของเมืองดีทรอยต์ในอดีต และเมื่อ 10 ชาติอาเซียน รวมตัวกันเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในอีกสองปีข้างหน้า ฐานของตลาดรถยนต์ก็ยิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านที่อยู่ติดไทย เขมร ลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ที่มีประชากรรวมกันเกือบ 200 ล้านคน ถ้ารวมตลาดไทยด้วยก็ 270 กว่าล้านคน ถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่มากทีเดียว
เมื่อบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นมองไทยเป็นศูนย์กลาง ผมจึงไม่แปลกใจที่มีบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากญี่ปุ่นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีขนาดใหญ่ เดินพาเหรดเข้ามาลงทุนในเมืองไทย เพื่อเป็นซัพพลายเชนให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยและในภูมิภาค แถมยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ไม่ต้องเสียภาษีทุกอย่าง ทั้งภาษีเครื่องจักรและภาษีเงินได้ ท่ามกลางเสียงร้องอันแหบแห้งของผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย ที่กำลังถูกรุกจนที่ยืนแคบลงไปทุกที
ผมไม่รู้ บีโอไอเมืองไทย ส่งเสริมการลงทุนแบบไหน อุตสาหกรรมไทยจึงไม่เคยโต ไม่เคยยืนบนขาของตนเองได้ มีแต่ อุตสาหกรรมต่างชาติ ที่ได้รับการส่งเสริมกลับโตเอาๆ จนอุตสาหกรรมไทยไม่มีที่ยืน ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมเดียวกัน
ผิดกับ ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือเพื่อนบ้านไทยอย่าง มาเลเซีย สิงคโปร์ ที่ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมอะไรแล้ว คนของเขามีแต่ได้กับได้ เพราะ เงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนที่เอื้อการส่งถ่ายความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนในประเทศ มากกว่าเอื้อคนต่างประเทศอย่างไทย ถ้าบีโอไอไทยยังเป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตของ “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” อาจต้องน้ำตาตกเหมือน “ดีทรอยต์แห่งอเมริกา” ก็เป็นได้ ถ้าไม่แก้ไข “เป้าหมาย”ของการส่งเสริมการลงทุน ให้เกิดความยั่งยืนแก่คนไทยและประเทศไทย ไม่ใช่เห็นแก่เงินลงทุนเพียงอย่างเดียว.
“ลม เปลี่ยนทิศ”